วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

การเตรียมความพร้อมก่อนน้ำท่วม

13 แขวง  9  เขตกทม. เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน


 
                         สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) : สทอภ. หรือ GISTDA หน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้เผยภาพจากดาวเทียม แสดงพื้นที่เสี่ยงภัยที่จะเกิดน้ำท่วมฉับพลันในช่วง 3-5 วันที่จะถึงนี้ ใน 9 เขตของกรุงเทพมหานคร ได้แก่
                    แขวงหนองค้างพลู   เขตหนองแขม
                    แขวงทุ่งสองห้อง     เขตหลักสี่
                    แขวงสายไหม และ แขวงคลองถนน    เขตสายไหม
                    แขวงอนุสาวรีย์  เขตบางเขน
                    แขวงจระเข้บัว และ แขวงลาดพร้าว  เขตลาดพร้าว
                    แขวงคลองกุ่ม  เขตบึงกุ่ม
                    แขวงคลองจั่น และ  แขวงหัวหมาก  เขตบางกะปิ
                    แขวงสะพานสูง    เขตสะพานสูง
                    แขวงคลองสองต้นนุ่น   และ  แขวงลาดกระบัง  เขตลาดกระบัง
                    ****และบริเวณปริมณฑล ได้แก่ จ.นนทบุรี จ.นครปฐม จ.สมุทรปราการ และจ.ฉะเชิงเทรา

                    จึงเตือนประชาชนเตรียมรับสถานการณ์น้ำท่วม และหลีกเลี่ยงเส้นทางจราจรที่มีน้ำท่วมขัง รวมทั้งติดตามข่าวสถานการณ์น้ำท่วม และระดับน้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมอุปกรณ์ป้องกัน ตลอดจนเตรียมย้ายที่อยู่ชั่วคราว 

  
จับตาโซนวิกฤตกทม.13 เขต 27 ชุมชน น้ำท่วม!!!


               สถานการณ์น้ำในวันนี้ 20 ต.ค. ต้องจับน้ำเหนือจะไหลทะลักเข้าท่วมในกรุงเทพมหานครในบ่ายวันนี้ ล่าสุด กทม.ได้เตรียมกระสอบทรายไว้ 4 ล้านใบ ป้องกันพื้นที่ 13 เขตที่อยู่ริมแม่น้ำเ้จ้าพระยา คาดว่า 27 ชุมชนที่อยู่นอกคันกั้นน้ำอาจต้องเผชิญกับน้ำที่ท่วมสูง อาทิ
               -เขตบางซื่อ มี 2 ชุมชน คือ ชุมชนพระราม 6 (ฝั่งติดแม่น้ำ) และชุมชนปากคลองบางเขนใหม่
              -เขตดุสิต มี 5 ชุมชน คือ ชุมชนเขียวไข่กา (ถ.เขียวไข่กาช่วงปลาย) 20 ครัวเรือน ชุมชนราชผาทับทิมร่วมใจ(เชิงสะพานกรุงธน) ชุมชนซอยสีคาม (ซอยสามเสน 19 ช่วงปลาย) ชุมชนปลายซอยมิตรคาม(ซอยสามเสน 13 ช่วงปลาย)และชุมชนวัดเทวราชกุญชรฯ (ถ.ศรีอยุธยาช่วงปลาย)
               -เขตพระนคร มี 3 ชุมชน คือ ชุมชนท่าวัง ชุมชนท่าช้าง และชุมชนท่าเตียน
               -เขตสัมพันธวงศ์ มี 2 ชุมชน คือ ชุมชนวัดปทุมคงคา(ท่าน้ำสวัสดี) และชุมชนตลาดน้อย

               -เขตบางคอแหลม มี 4 ชุมชน คือ ชุมชนวัดบางโคล่นอก ชุมชนหน้าวัดอินทร์บรรจง ชุมชนซอยมาตานุสรณ์ และชุมชนหลังร.พ.เจริญกรุงประชารักษ์

               -เขตยานนาวา มี 1 ชุมชน คือ ชุมชนโรงสี (ถ.พระราม 3)
              -เขตคลองเตย มี 1 ชุมชน คือ ชุมชนสวนไทรริมคลองพระโขนง

              -เขตบางพลัด มี 1 ชุมชน คือ ชุมชนวัดฉัตรแก้ว

              -เขตบางกอกน้อย มี 4 ชุมชน คือ ชุมชนสันติชนสงเคราะห์ ชุมชนปากคลองน้ำตาล-คลองพิณพาทย์ ชุมชนตรอกวังหลังและชุมชนดุสิต-นิมิตรใหม่
              -เขตธนบุรี มี 1 ชุมชน คือ ชุมชนปากคลองบางกอกใหญ่
             -เขตคลองสาน มี 1 ชุมชน คือ ชุมชนเจริญนครซอย 29/2
             -เขตราษฎร์บูรณะ มี 1 ชุมชน คือ ชุมชนดาวคะนอง

             -เขตทวีวัฒนา มี 1 ชุมชน คือ ชุมชนวัดปรุณาวาส

ที่มา  :  มติชนออนไลน์



                       ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. ได้กล่าวถึง 5 มาตรการลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากน้ำล้นทะลักเข้าท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า
                      มาตรการที่ 1 สั่งการให้นำกระสอบทรายจำนวน 200,000 ใบ จากจำนวนที่จะปฏิบัติการได้ 4,000,000 ใบ อุดจุดฟันหลอทุกจุดตามแนวเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยานอกแนวคันกั้นน้ำ ตลอดแนวสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาของเขต กทม.
                      มาตรการที่ 2 นำกระสอบทรายไปเสริมแนวคันกั้นน้ำให้สูงขึ้นตามจุดเสี่ยงน้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ อาทิ ชุมชนริมแม่น้ำในเขตบางกอกน้อย บางพลัด และดุสิต
                      มาตรการที่ 3 ประสานกับทางกรมชลประทานอย่างใกล้ชิด เพื่อปล่อยน้ำจากเขื่อนอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดโอกาสการเกิดน้ำท่วมให้ได้มากที่สุด ซึ่งจุดนี้เป็นจุดสำคัญที่จะช่วยป้องกันเพราะน้ำที่ไหลลงมามีปริมาณมาก
                      มาตรการที่ 4 ได้มีการสร้างสะพานและทางเดินชั่วคราว โดยจะครอบคลุม 27 ชุมชน ในพื้นที่ 13 เขตเสี่ยงน้ำท่วม
                     มาตรการที่ 5 เตรียมพร้อมเครื่องสูบน้ำขนาด 4 - 20 นิ้ว จำนวนกว่า 1,065 เครื่อง ติดตั้งไว้ในจุดสำคัญต่างๆ และพร้อมใช้งานทันทีหากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม

                     ทั้งนี้กทม.ได้จัดหน่วยเคลื่อนที่เร็ว หรือ หน่วย BEST และเจ้าหน้าที่เทศกิจประจำจุดเสี่ยง พร้อมยานพาหนะ และอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ ที่พร้อมปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง และยังได้เตรียมถุงยังชีพ เวชภัณฑ์ และเครื่องอุปโภคบริโภค หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน พร้อมทั้งประสานวัด โรงเรียน มัสยิด ในพื้นที่จุดเสี่ยงทั้ง 13 เขต เพื่อรองรับประชาชนกรณีจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายประชาชนออกจากที่อยู่อาศัย โดยเจ้าหน้าที่สำนักป้องกันบรรเทาสาธารณภัยและสำนักเทศกิจจากเขตต่างๆ พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนเคลื่อนย้ายทรัพย์สินไว้ในที่ปลอดภัย แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่พี่น้องประชาชนชาว กทม.จะช่วยกันทำได้ คือ ขอให้พี่น้องประชาชนหมั่นตรวจตรา และทำความสะอาดไม่ให้มีสิ่งกีดขวาง ขยะ หรือสิ่งอุดตันท่อระบายน้ำบริเวณหน้าบ้านของตนเอง เพื่อไม่กีดขวางการระบายน้ำ

 

                                               

                     การป้องกันตัวเองและความเสียหายจากน้ำท่วม ควรมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า เพราะหาก รอให้มีการเตือนภัย เวลามักจะไม่เพียงพอ



การรับมือสำหรับน้ำท่วมครั้งต่อไปควรปฏิบัติดังนี้                               
        1.  คาดคะเนความเสียหายที่จะเกิดกับทรัพย์สินของคุณเมื่อเกิดน้ำท่วม
        2.  ทำความคุ้นเคยกับระบบการเตือนภัยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขั้นตอนการอพยพ
        3. เรียนรู้เส้นทางการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุดจากบ้านไปยังที่สูงหรือพื้นที่ปลอดภัย
        4. เตรียมเครื่องรับวิทยุแบบพกพา อุปกรณ์ทำอาหารฉุกเฉิน แหล่งอาหารและไฟฉาย แบตเตอรี่สำรอง และยาสามัญประจำบ้าน รวมทั้งยาสำหรับผู้มีโรคประจำตัว
        5. ผู้คนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงต่อภัยน้ำท่วม ควรจะเตรียมวัสดุ เช่น กระสอบทราย แผ่นพลาสติก ไม้แผ่น ตะปู กาวซิลิโคน เป็นต้น เพื่อใช้ป้องกันบ้านเรือน และทราบแหล่งทรายที่จะนำมาใช้
        6. นำรถยนต์และพาหนะไปเก็บไว้ในพื้นที่ซึ่งน้ำไม่ท่วมถึง
        7.  ปรึกษาและทำข้อตกลงกับบริษัทประกันภัยเกี่ยวกับการประกันความเสียหาย
        8.  บันทึกหมายเลขโทรศัพท์สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน และเก็บไว้ตามที่จำง่าย
        9.  รวบรวมของใช้จำเป็นและเสบียงอาหารที่ต้องการใช้ภายหลังน้ำท่วมไว้ในที่ปลอดภัยและสูงกว่าระดับที่คาดว่าน้ำจะท่วมถึง
        10.  ทำบันทึกรายการทรัพย์สินมีค่าทั้งหมด ถ่ายรูปหรือวีดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐาน      
        11.  เก็บบันทึกรายการทรัพย์สิน เอกสารสำคัญและของมีค่าอื่นๆ ในสถานที่ปลอดภัยห่างจากบ้านหรือห่างจากที่น้ำท่วมถึง เช่น ตู้เซฟที่ธนาคาร หรือไปรษณีย์
        12.  ทำแผนการรับมือน้ำท่วม และถ่ายเอกสารเก็บไว้ในที่สังเกตได้ง่าย  และติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วมที่เหมาะสมกับบ้านของคุณ

ถ้าคุณคือพ่อแม่ :
·        ทำการซักซ้อมและให้ข้อมูลแก่บุตรหลานของคุณขณะเกิดน้ำท่วม เช่น ไม่สัมผัสเครื่องใช้ไฟฟ้า ปลั๊กไฟ  หลีกเลี่ยงการเล่นน้ำและอยู่ใกล้เส้นทางน้ำ
·        ต้องทราบหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินของหน่วยงานท้องถิ่น
·        ต้องทราบแผนฉุกเฉินสำหรับ โรงเรียนที่บุตรหลานคุณเรียนอยู่
·        เตรียมแผนการอพยพสำหรับครอบครัวของคุณ
·        จัดเตรียมกระสอบทราย  เพื่อกั้นน้ำไม่ให้เข้าสู่บ้านเรือน
·        ต้องมั่นใจว่าเด็กๆได้รับทราบแผนการรับสถานการณ์น้ำท่วมของครอบครัวและของโรงเรียน

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

การขอรับเงินค่าจัดการศพผู้สูงอายุ

          
          ผู้สูงอายุสัญชาติไทย (อายุ 60 ปี ขึ้นไป) ที่ถึงแก่กรรม ตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2553 เป็นต้นไป 

          ให้ผู้รับผิดชอบในการจัดการศพ ยื่นขอรับเงินค่าจัดากรศพผู้สูงอายุได้ ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ออกใบมรณบัตร

                  
           โดยยื่นคำขอรับเงินค่าจัดการศพผู้สูงอายุ ได้ที่

              กรุงเทพมหานคร  :  ยื่นคำขอได้ที่ สำนักงานเขตที่ผู้สูงอายุ
มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน (ก่อนเสียชีวิต) หรือ ศูนย์คุ้มครองสวัสดิภาพชุมชนเขต ทั้ง 12 เขต กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พม.               
         ต่างจังหวัด  :   ยื่นคำขอได้ที่ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผู้สูงอายุมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน (ก่อนเสียชีวิต) หรือ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.)

หมายเหตุ :  ให้ผู้ยื่นมายื่นคำขอรับเงินค่าจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี
                 พาญาติพี่น้อง หรือ คนรู้เห็นการจัดการศพ ที่มีอายุ 20 ปีขึ้น
                 ไป มาเซ็นต์รับรองการจัดการศพดังกล่าวด้วยจะทำให้การยื่น
                 เรื่องรวดเร็วขึ้น สอบถามได้ที่ ฝ่ายพัฒนาชุมชนฯ สำนักงาน
                 เขตบางเขน โทร. 02 521 0666 ต่อ 5885 และ 5886


วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

ฝากดูแลสมองของคุณด้วย


1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์
     เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้ส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ


 2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน
    ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น


3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้วให้ตั้งสติ และนั่งสมาธิทุกเช้าวันละ 12 นาที
    เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการให้เห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)
 

 4. ใส่ความตั้งใจ
    การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆเพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน


5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ
    ทุกครั้งที่ยิ้มและหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ



6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
    สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นใหม่ในชีวิตประจำวัน เช่นกินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯ เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้กระตุ้นให้อยากเรียนรู้ และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก้ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

 
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
    ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระสมอง


8. เขียนบันทึกขอบคุณ Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ
    ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึกเช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์


9. ฝึกหายใจลึกๆ
    รู้ไหมว่าสมองของเราใช้ออกซิเจน 20-25 %


ที่มา :  http://www.blink.co.th/t_list_detail.php?type=1&id=187&topic=2&ln=